หมวดหมู่

Table of Contents

ยกกระชับ ผิวหย่อนคล้อย ให้เต่งตึง ไม่ง้อศัลยกรรม

อีกหนึ่งปัญหาที่ตามหลอกหลอนไปพร้อมกับอายุที่มากขึ้นคงหนีไม่พ้น ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย V shape หาย ซึ่งทำให้ใบหน้าและผิวพรรณของเราดูแก่ก่อนวัยอันควร แน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่ได้มีเพียงแค่อายุที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้ผิวเสื่อมสภาพและดูแก่กว่าวัย ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วยการ ยกกระชับ นั่นเอง

ผิวหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร ?

ผิวหย่อยคล้อย คือสภาพผิวที่ถูกรบกวนจากปัจจัยต่าง ๆ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวไม่เรียบเนียน ไม่กระชับ และมีความหย่อนยาน จนส่งผลให้เกิดริ้วรอยบริเวณร่องแก้ม หน้าผาก ลำคอ และดวงตา ที่ทำให้ผิวและใบหน้าดูแก่เกินวัย ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยเกิดจากการที่จำนวนคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวถูกรบกวนจากปัจจัยต่าง ๆ และลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์ผิวสูญเสียความกระชับ ดูหย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวดูแก่เกินวัย โดยปัจจัยที่ส่งผลให้จำนวนคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวลดลง มีทั้งหมด 6 ข้อ ดังนี้

  • อายุที่เพิ่มขึ้น

ร่างกายของเรามีสามารถผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวได้ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กระบวนการเหล่านี้จะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากจะพูดให้เห็นภาพคือ หากเรานำผิวของเด็กแรกเกิดมาเทียบกับผิวของคนอายุ 40 ก็จะเห็นได้ชัดว่า ผิวของเด็กแรกเกิดจะมีความเนียนละเอียด ดูกระจ่างใส และไร้ริ้วรอย แต่ผิวของคนที่อายุ 40 จะมีความแห้งกร้าน ดูไม่กระจ่างใส และมีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และเรียบเนียน ซึ่งในช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ผิวดูเต่งตึง และดูเยาว์วัย แต่ต่อมาเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวชั้นในมีความหย่อนคล้อย จนทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ ตามมา

  • รังสียูวีในแสงแดด

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า รังสียูวีในแสงแดดเป็นอันตรายต่อผิวเป็นอย่างมาก เนื่องจากรังสียูวีจะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ และเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนังภายในเซลล์ รวมถึงทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และเกิดความหย่อนคล้อยตามมา ดังนั้น ถ้าหากคุณไม่อยากมีริ้วรอยหรือผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับการทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสียูวี

  • ความเครียด

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เครียดบ่อยหน้าแก่ไม่รู้ตัว” ประโยคที่เหล่านักศึกษาและคนวัยทำงานมักจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งหากคุณลองสังเกตดูจะพบว่า คนที่มีความเครียดตลอดเวลา จะมีใบหน้าที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยมากกว่าคนที่มีความสดใส 

เพราะเมื่อเราเกิดความเครียด นอกจากคิ้วของเราที่ขมวดเข้าหากันอัตโนมัติจนทำให้เกิดริ้วรอยและตีนกาบนใบหน้าแล้ว ร่างกายของเรายังมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว และลดการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติ  รวมถึงเข้าไปรบกวนกระบวนการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีส่วนช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และเรียบเนียน จนทำให้เซลล์​ผิวหนังไม่แข็งแรงและเกิดความหย่อนคล้อยในที่สุด

  • การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายของเราได้ฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับเซลล์ผิวของเราที่ต้องการการพักผ่อนและฟื้นฟูเช่นเดียวกัน ซึ่งในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ที่ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ผ่านการสร้างระบบการเผาผลาญอาหารให้ดียิ่งขึ้น และช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ที่สึกหรอในร่างกาย 

แน่นอนว่าหากเราพักผ่อนไม่เพียง ร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมาได้ไม่เต็มที่ทำให้ผิวหนังเกิดการหย่อนคล้อย และเหี่ยวย่นได้ นอกจากนี้ หากระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ ของเสียต่าง ๆ ในร่างกายก็จะไม่ถูกขับออกไป ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ดูแห้งกร้านได้อีกด้วย

  • มลภาวะต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน

นอกจากแสงแดดจะเป็นศัตรูตัวร้ายของผิวแล้ว มลภาวะต่าง ๆ ที่เราต้องพบเจอในแต่ละวันก็ถือเป็นอีกหนึ่งศัตรูที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือหลีกเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควันรถยนต์ หรือควันบุหรี่ ซึ่งมลภาวะเหล่านี้จะเข้าไปรบกวนการทำงานของกระบวนการผลิตคอลลาเจน และเซลล์ผิวหนังในร่างกายให้เสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้ผิวพรรณที่ถูกรบกวนเกิดการหย่อนคล้อยและมีริ้วรอย นอกจากนี้หากมลภาวะต่าง ๆ ถูกสะสมบนผิวหนังไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะทำให้ผิวดูหมองคล้ำ หรือเกิดการอุดตันจนทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้ในแต่ละช่วงอายุ

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ปัญหาผิวหย่อนคล้อยเกิดจากการที่ผิวถูกรบกวนจากปัจจัยต่าง ๆ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผิวก็คงไม่พ้น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในแต่ละช่วงวัยก็จะต้องพบเจอกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าคุณรู้ว่า อีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ผิวของคุณจะเกิดปัญหาใดขึ้นบ้าง และหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านั้นได้ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า แต่ละช่วงอายุต้องเจอกับปัญหาผิวอะไรบ้าง

  • ช่วงอายุ 20+

จำนวนคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังแท้เริ่มลดน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มมีริ้วรอยบาง ๆ ที่เกิดจากการยิ้มบริเวณรอบดวงตา

  • ช่วงอายุ 30+

เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่เลข 3 ปัญหาในชั้นผิวหนังก็จะเริ่มมีมากขึ้นและเห็นได้ชัดขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวถูกทำลายมากขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการผลัดเซลล์ผิวบริเวณผิวชั้นนอกยังทำงานได้ช้าลง ทำให้ผิวดูหยาบกร้าน เกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาเริ่มชัดขึ้น มีริ้วรอยบริเวณคิ้วและหน้าผากจากการขมวดคิ้ว และเกิดความหย่อนคล้อยบริเวณแก้มได้

  • ช่วงอายุ 40+

เมื่อเข้าสู่วัย 40+ ผิวของเราจะเริ่มอ่อนแอมากขึ้น และจะเริ่มมีปัญหาผิวที่ลึกลงไปถึงชั้นไขมัน โดยไขมันจะมีการเสื่อมสลายไป ไม่แน่นเหมือนวัยเด็ก ทำให้ผิวเกิดการยุบตัว นอกจากนี้ เนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ที่ทำหน้าที่โอบอุ้มผิวให้มีความกระชับ ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพและอ่อนแอลง ทำให้ไม่สามารถพยุงผิวให้กระชับได้ และทำให้รูปหน้าเกิดความหย่อนคล้อย

  • ช่วงวัย 50+

เป็นช่วงอายุที่มีริ้วรอยลึกขึ้น ผิวหนังเริ่มบาง และรูปหน้าเริ่มเปลี่ยน เนื่องจากผิวหนังมีการหย่อนคล้อย นอกจากนี้ โครงสร้างของใบหน้ายังอาจเกิดการยุบตัวลงตามธรรมชาติ ทำให้ใบหน้าบางคนดูไม่สมส่วนได้ด้วย

วิธีไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย

  • ร้อยไหม ยกกระชับ ใบหน้า 

การร้อยไหมจะเหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาผิวช่วงกระเปาะแก้มหย่อนคล้อยทำให้ไม่เห็นแนวกรอบหน้า ผิวหย่อนคล้อยช่วงกระเปาะมุมปากทำให้เห็นร่องน้ำหมาก ผิวหย่อนคล้อยช่วงหน้าแก้มทำให้เห็นเป็นร่องแก้ม รวมไปถึงสามารถยกคิ้วและหนังตาให้ดูเปิดขึ้นไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ไหมในปัจจุบันมีหลายแบบแต่ไหมที่เหมาะสมกับการยกกระชับผิวคือไหมที่มีเงี่ยง ไม่ใช่ไหมเรียบ เนื่องจากเวลาที่หมอใส่ไหมเข้าไปใต้ผิวในชั้นไขมัน ตัวเงี่ยงไหมจะเกี่ยวช่วงไขมันที่ดูหย่อนแล้วดึงย้ายตำแหน่งไขมันนั้นให้เกิดการยกกระชับขึ้น

ผลลัพธ์จากการร้อยไหมที่เด่นคือ สามารถเห็นได้ทันทีหลังทำเลยว่าใบหน้าดูยกกระชับขึ้นตามแนวไหมที่หมอวางไว้ และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวในตำแหน่งที่มีไหมอยู่ได้ แต่หลังการร้อยไหมอาจมีความบวม รอยเขียวช้ำ และริ้วไหมได้ในช่วงแรก ตามปกติใบหน้าที่ดูเข้าที่สุดหลังร้อยไหมที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์

การร้อยไหมสำหรับตัวหมอเอง ไม่ค่อยเหมาะกับคนไข้ที่มีไขมันสะสมบนใบหน้าเยอะเพราะจะทำให้หน้าดูใหญ่ขึ้น คนไข้ที่มีแก้มตอบมากๆ การร้อยไหมอาจทำให้แนวแก้มตอบชัดขึ้นได้ในบางคน รวมไปถึงคนไข้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามช่วงอายุในระดับที่มากการร้อยไหมอาจทำเกิดรอยรั้งไหมได้นาน หรืออยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควรจะไป เนื่องจากใต้ผิวมีคอลลาเจนค่อนข้างน้อย

  • ฟิลเลอร์ ยกกระชับ

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าฟิลเลอร์สามารถฉีดเพื่อให้เกิดการยกกระชับหน้าได้ ไม่ใช่แค่เน้นในเรื่องของการเติมเต็มเพียงอย่างเดียว ซึ่งเทรนในการฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับหน้านี้ค่อนข้างฮิตมากในปัจจุบันเนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและทำให้หน้าดูมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นในหลายๆ บริเวณทั้งในส่วนของขมับตอบ ใต้ตา ร่องแก้ม แก้มตอบ ร่องน้ำหมาก คาง เป็นต้น

เมื่อเราอายุมากขึ้นโครงสร้างแนวกระดูกและไขมันชั้นลึกเกิดการฝ่อตัวลง รวมไปถึงเส้นเอ็นที่คอยพยุงผิวอ่อนแรงลง ทำให้ช่วงไขมันที่อยู่ชั้นบนและชั้นผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อยลงมาก อธิบายง่ายๆ คือเสาเข็มที่คอยพยุงหน้าไม่แข็งแรงและกร่อนลงนั่นเอง

การฉีดฟิลเลอร์จะคอยไปพยุงซัพพอร์ตและเติมเต็มชั้นโครงสร้างให้แข็งแรงและยกกระชับขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์ยกกระชับหน้าจะค่อนข้างดูเป็นธรรมชาติ แต่หากคนไข้มีความหย่อนคล้อยมากอาจจะต้องมีการทำหัตถการอย่างอื่นเพิ่มเติม โดยส่วนมากปริมาณฟิลเลอร์สำหรับฉีดยกกระชับทั่วหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 10cc ขึ้นไป โดยเราสามารถแบ่งฉีดแก้ไขในแต่ละตำแหน่งของใบหน้าเป็นรอบๆ ได้ หรือจะฉีดให้เสร็จทีเดียวในหนึ่งครั้งเลยก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

  • โบท็อกซ์ ยกกระชับ

การฉีดโบท็อกซ์ยกกระชับหน้า หรือ โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า สามารถทำให้ผิวหน้าดูตึงกระชับขึ้น เห็นแนวกรอบหน้าชัดขึ้น โดยจะมี 2 เทคนิคที่ใช้ได้แก่

  • Dermolift

เป็นการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณชั้นผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ หลายๆ จุด บริเวณด้านข้างของใบหน้าไล่ไปตามแนวกรอบหน้า จะทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการหดตัว ทำให้ผิวเกิดความกระชับขึ้น แนวกรอบหน้าชัดขึ้น

  • Nefertiti lift

เป็นการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อ Platysma ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อช่วงบริเวณลำคอและใบหน้าส่วนล่าง ตามปกติกล้ามเนื้อนี้จะดึงผิวหน้าลงทำให้หน้าดูหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อนี้ทำงานลดลง เกิดการดึงขึ้นของผิวช่วงกรอบหน้า ส่งผลให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น

จะเห็นผลลัพธ์หลังทำชัดเจนที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ และคงสภาพอยู่ได้ 3-4 เดือน เหมาะกับคนไข้ที่ไม่ได้มีปัญหาความหย่อนคล้อยน้อย มีแนวกรอบหน้าเดิมบ้างอยู่แล้ว หากมีความหย่อนคล้อยที่ชัดเจน มีริ้วรอยร่องลึกต่างๆ แนะนำแก้ไขด้วยหัตถการอื่น

  • การผ่าตัดดึงหน้า

ภาพเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้า (Face-lift) จาก: mayoclinic.org/tests-procedures/face-lift/

การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อปรับโครงสร้างของกล้ามเนื้อ ชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ และชั้นไขมันที่หย่อนตามวัยให้กลับไปอยู่ในตำแหนงที่เหมาะสม รวมไปถึงตัดผิวหนังส่วนเกินออกเพื่อให้ผิวเกิดความตึงกระชับ และเรียบเนียนขึ้น

การผ่าตัดจะมีแผลเกิดขึ้นดังนั้นในคนไข้ที่มีประวัติแผลเป็นคีลอยด์ อาจเกิดเป็นแผลเป็นได้ และการผ่าตัดมีความเสี่ยงอาจพบการบาดเจ็บของเส้นประสาทได้แต่พบได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามการผ่าตัดดึงหน้าเป็นวิธีที่สามารถทำให้เกิดการยกกระชับใบหน้าได้มากที่สุดและอยู่ได้นานที่สุด

  • Micro Tensity Lift ยกกระชับหน้า

Micro Tensity Lift หรือ HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เป็นคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ ที่ลงลึกไปจนถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ หรือ SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า โดยพลังงานนี้จะทำเกิดแผลเล็กๆ หลายจุดบนชั้น SMAS ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ตามมาในบริเวณนั้น ส่งผลให้ชั้น SMAS เกิดความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทำให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น ชั้นผิวมีปริมาณคอลลาเจนที่มากขึ้นผิวจึงหนาและแข็งแรงขึ้นด้วย ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นชัดเจนที่ประมาณ 1-3 เดือน วิธีนี้จะเน้นในเรื่องการสร้างคอลลาเจนของตัวเราเอง ดังนั้นผลลัพธ์จึงแตกต่างกันในแต่ละคน หากมีความหย่อนคล้อยมากแนะนำทำหัตถการอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่ข้อดีคือหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติไม่มีรอยแผลใดๆ

Micro Tensity Lift คือ อะไร?

Micro Tensity Lift เป็นหนึ่งในเทคโนโลยี Hifu ที่ทุกคนรู้จัก ช่วยในเรื่อง Anti-aging และยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึง ซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถปรับหัวใช้งานตามระดับความลึกได้ถึง 7 ระดับ ยิงได้สูงถึง 20,000 ช็อต พลังงานมีความเสถียรและมีความแม่นยำสูงจึงเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ผิวเนียนนุ่มขึ้น เห็นผลหลังทำทันที 20% 

ข้อดีของ ยกกระชับ Micro Tensity Lift

Hifu เป็นหนึ่งในนวัตกรรมความงาม ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวใบหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และไม่มีแผลใดๆ ไม่ต้องพักฟื้นนาน มีความปลอดภัยต่อผิวสูง ไม่ทำร้ายผิวหนังบริเวณชั้นนอก รวมถึงผลลัพธ์ที่นานพอสมควรทำให้คุ้มค่าแก่การทำ นอกจากนี้ยังไม่เป็นอันตรายต่อสายตา จึงสามารถช่วยเน้นที่บริเวณใต้ตาและรอบดวงตาได้โดยตรง รวมถึงเมื่อทำเสร็จก็ยังสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ 

การ ยกกระชับ ด้วย Micro Tensity Lift เหมาะกับใครบ้าง?

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิวใบหน้าหย่อนคล้อย
  2. ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอยตื้นๆ เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม
  3. ผู้ที่ต้องการกรอบหน้าชัด ลดเหนียง
  4. ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
  5. ผู้ที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ ให้กับใบหน้า

Micro Tensity Lift สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดี และมีความปลอดภัยสูง

การ ยกกระชับ ด้วย MicroMicro Tensity Lift ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Micro Tensity Lift สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว แต่ก็มีบางจุดที่อาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้นควรเช็คให้ดีก่อนจะทำน้า

บริเวณใบหน้าที่ทำได้ มี ดังนี้

  • คิ้ว
  • หน้าผาก
  • ใต้ตา/หางตา
  • มุมปาก
  • ร่องแก้ม
  • ใต้คาง
  • ร่องแก้ม
  • บริเวณโครงหน้า

บริเวณที่ควรงดเว้น มี ดังนี้

  • บริเวณลูกกระเดือก
  • บริเวณจอนผม
  • บริเวณมุมปาก ควรยิงห่างออกมาประมาณ 1-2 เซนติเมตร
  • บริเวณกลางหน้าผาก
  • บริเวณหางตา
  • บริเวณคาง
  • บริเวณซี่โครง
  • บริเวณสะโพก
  • บริเวณสะดือ
  • บริเวณด้านหลังต้นขา
  • บริเวณท้องแขน
  • บริเวณหัวเข่า

การเตรียมตัวก่อน ยกกระชับ Micro Tensity Lift

  1. หลีกเลี่ยงความร้อนก่อนเข้ารับการรักษา ควรเตรียมผิวให้พ้นจากแสงแดดโดยตรง
  2. งดเว้นการเลเซอร์บริเวณผิวที่ต้องการทำอย่างน้อย 3-5 วัน เนื่องจากผิวจะมีความร้อนสะสม และอาจเกิดผิวไหม้ได้ง่าย
  3. งดสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงงดรับประทานยากลุ่มแอสไพริน วิตามินต่าง ๆ อย่างน้อย 1 สับดาห์ 
  4. ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนเข้ารับการรักษาเพื่อให้เซลล์ใหม่สามารถซ่อมแซมและเกิดใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

Micro Tensity Lift กี่ครั้งจึงจะเห็นผล

หลังจากที่ทำครั้งแรกผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน แต่สำหรับใครที่สนใจที่จะทำซ้ำอีกครั้งเพื่อต้องการให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ชัดเจนมากขึ้น สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 3 เดือน

ผลลัพธ์ของ Micro Tensity Lift อยู่ได้นานกี่เดือน ?

โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำให้นานกว่านั้นได้หากใช้ค่าพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับคนไข้ว่าสามารถทนเจ็บได้หรือไม่

ผู้ที่ไม่ควรเข้ารับบริการด้วย Micro Tensity Lift

  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
  • มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด และการแข็งตัวของเลือด
  • มีความผิดปกติในการรับรั ความรู้สึรู้สึก
  • มีโรคประจําตัว (หัวใจ, เบาหวาน, ความดันโลหิต) ที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้
  • มีการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ Pacemaker
  • เคยได้รับอุบัติเหตุ หรือมีการฝังเหล็ก โลหะบริเวณที่ทําการรักษา
  • เคยร้อยไหมชนิดโลหะบริเวณใบหน้า

คำแนะนำหลังทำ Micro Tensity Lift

  1. งดโดนแดดแรง ๆ แดดกลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ผลลัพธ์หลังทำ Micro Tensity Lift ฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนได้ดียิ่งขึ้น
  2. หากต้องออกข้างนอก ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ ทุกครั้งที่ต้องออกไปเจอแสงแดด
  3. หากมีอาการเมื่อยหรือตึงผิวหลังเข้ารับบริการ สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
  4. งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะไปทำลายคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิว
  5. ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น เพราะผิวอาจเกิดแห้งได้ง่าย ๆ
  6. หมั่นบํารุงผิวอย่างสม่ําเสมอ

สรุป

Micro Tensity Lift หรือก็คือตัว Hifu คือนวัตกรรมยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้หน้ากลับมาเรียวสวยได้โดยไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ประมาณหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะทำ Micro Tensity Lift ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดให้ถี่ถ้วนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยก่อนเข้ารับการรักษานะคะ

BOTOX

ย้อนเวลาแห่งวัย คืนหน้าเรียว เริ่มต้น
฿ 6,990
  • Botox กราม
  • Botox ริ้วรอย
  • Botox หางตา
  • อื่นๆ

FILLER

เติมเต็มให้ละมุนทุกมิติ เริ่มต้น
฿ 6,990
  • ฟิลเลอร์ปาก
  • ฟิลเลอร์คาง
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา
  • อื่นๆ

MESOTHERAPY

บำรุงชั้นผิวให้ด้วยมัลติวิตามิน เริ่มต้น
฿ 2,990
  • เมโสหน้าใส
  • เมโสแฟต
  • เมโสผม
  • อื่นๆ

Would you like to share your thoughts?

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

เมโสหน้าใส ต่างกับ ฟิลเลอร์งานผิว ยังไงนะ

เมโสหน้าใส และฟิลเลอร์งานผิว ซึ่งทั้งสองตัวนั้นให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันคือผิวสวยใส แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทั้งสองตัวนี้นั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร

Read More »

Zigma Clinic คือคลินิกเสริมความงามที่มุ่งเน้นการรักษาคนไข้ ด้วยการใช้นวัตกรรมทางความงามปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ได้มาตรฐาน โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์เน้นให้บริการที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการ

Navigation

Address

ซิกม่า คลินิก 2 26 ถ. ราษฎร์พัฒนา แขวงราษฎร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

Call Us

+66629977838

Email Address

zigmaclinic2022@gmail.com