หมวดหมู่

Table of Contents

กำจัดไขมัน ส่วนเกินคืออะไร  กำจัดไขมัน อย่างไร ?

ไขมันส่วนเกิน เป็นอีกปัญหาที่แก้ไขได้ยากสำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบันที่นั่งทำงานอยู่กับที่ รับประทานฟาสฟู๊ด ไม่ค่อยออกกำลังกาย เป็นสาเหตุทีทำให้มีไขมันส่วนเกินที่ลดได้ยาก หรือเป็นโรคอ้วนได้ในอนาคต ในบทความนี้จะมาบอกถึงสาเหตุที่มาที่ไปว่าไขมันส่วนเกินเกิดจากอะไร มีวิธี กำจัดไขมัน และการดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อลดไขมันส่วนเกินได้อย่างเห็นผลมาแนะนำ

ไขมันส่วนเกิน คืออะไร ?

Subcutaneous Fat หรือ ไขมันส่วนเกิน คือ ไขมันที่รวมตัวกันบริเวณผิวหนังและกล้ามเนื้อ พบได้บริเวณต้นขา ต้นแขน สะโพก หน้าท้อง ใบหน้า และคอ และยังมีไขมันส่วนเกินอีกประเภทที่เรียกว่า Visceral Fat หรือ ไขมันในช่องท้อง คือ ไขมันที่สะสมอยู่ในอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ลำไส้ ซึ่งไขมันส่วนเกินประเภทนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก และลดได้ยาก

สาเหตุการเกิดไขมันส่วนเกิน

กรรมพันธุ์ หลายคนที่มีปัญหาอ้วน มีไขมันส่วนเกินที่ลดยากมาก อาจเกิดจากกรรมพันธ์ุจากพ่อแม่ หากพ่อแม่อ้วน มีความเสี่ยงถึง 25% ที่ลูกจะอ้วนด้วย
เพศและอายุ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญจะลดลง และตามสถิติแล้วผู้ชายจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงจะเป็นไขมันส่วนเกินบริเวณสะโพก ต้นขา
ทานอาหารประเภทไขมันมากเกินไป หากทานอาหารที่เป็นไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลเกินปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน สุดท้ายจะถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นไขมัน เมื่อสะสมมาก ๆ ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมด จึงเกิดการสะสมและแทรกซึมอยู่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ
ไม่ค่อยขยับหรือออกกำลังกาย หากเป็นคนที่นั่งทำงานอยู่กับที่ เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ไม่ออกกำลังกาย ร่างกายจึงใช้พลังงานน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็อาจเกิดไขมันสะสมได้ เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไม่ดี

ชนิดของไขมันส่วนเกิน

ไขมันส่วนเกินในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ซึ่งการมีไขมันสะสมในร่างกายไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนล้วนกระทบกับสุขภาพของเราทั้งหมด

  1. ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด ไขมันชนิด LDL (Low-Density Lipoprotein)เป็นไขมันไม่ดีที่มาจากไขมันสัตว์ หากมีไขมันชนิดนี้ไปเกาะที่ผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ทำให้เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดตีบตัน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น
  2. ไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง นี่คือไขมันตัวร้ายที่ทำให้ร่างกายของเรามีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นไม่ว่าจะเป็น การมีหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขนที่ใหญ่ขึ้น
  3. ไขมันส่วนเกินในช่องท้อง การไขมันในช่องท้องเยอะจะกระทบกับอวัยวะภายในที่สำคัญของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ จะทำให้ร่างกายเสี่ยงเป็นโรคร้ายอย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

ไขมันส่วนเกิน อันตรายไหม ?

ไขมันส่วนเกินส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ไขมันส่วนเกินในเลือด, ไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง, ไขมันส่วนเกินในช่องท้อง เมื่อเวลาผ่านไปมีไขมันสะสมมากขึ้น จะนำไปสู่โรคที่อันตรายอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมอง ภาวะไขมันพอกตับ โรคอัลไซเมอร์


ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร ?

หลายคนที่อยากมีหุ่นดี มักติดกับดักตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนัก ยิ่งน้อยยิ่งดี ซึ่งความจริงแล้ว น้ำหนักน้อย ≠ หุ่นดี เพราะร่างกายเรามีน้ำหนักได้จากหลายส่วน ตั้งแต่น้ำ ไขมัน อวัยวะ ฯลฯ

ลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักเพื่อให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลงนั้น ทำให้ได้ง่าย หากอดหรือทำให้ร่างกายขาดอาหารมาก ๆ ก็ทำให้น้ำหนักลดลงได้แล้ว แต่เป็นวิธีการที่ผิดและไม่ปลอดภัย น้ำหนักที่ลดลงอาจเป็นน้ำหรือกล้ามเนื้อ และไม่ได้ช่วยลดไขมัน น้ำหนักลดลงก็จริงแต่สัดส่วนไม่ได้ลดลงตาม รวมไปถึงอาจมีอาการโยโย่และสุขภาพไม่ดี

ลดไขมัน
ตามหลักแล้วการจะพิจารณาว่าคน ๆ หนึ่ง มีภาวะอ้วนหรือไม่ ต้องวัดจากปริมาณไขมันในร่างกาย (Body Fat) โดยมี 2 จุดที่ควรลด คือ ไขมันใต้ผิวหนัง (ต้นแขน ต้นขา สะโพก หน้าท้อง) และไขมันในช่องท้อง (เกาะตามอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ตับ ไต) ทำให้มีปัญหาอ้วนลงพุง เอวหนา ท้องป่อง ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ

ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักให้ได้หุ่นสวย ฟิต เฟิร์ม ควรมุ่งเน้นการลดไขมัน ไม่ใช่ลดแต่น้ำหนักเพียงอย่างเดียว จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาพที่ดีมากกว่า

วิธีการ กำจัดไขมัน ด้วยตัวเอง

ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่ช่วยสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจ การไหลเวียนเลือด และการทำงานของปอด ให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น การออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน จากน้ำตาลและไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ การคาร์ดิโอสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ วันละ 30 นาที 3-4 วัน/สัปดาห์ ไปจนถึงวันละ 50 นาทีหรือหนึ่งชั่วโมง

ควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารเป็นการจัดการปัญหาไขมันช่องท้องจากต้นเหตุ แต่ไม่ควรอดอาหารเพื่อหวังจะให้ตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนักลดลงเพียงอย่างเดียวครับ ควรลดอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน โดยเฉพาะ
น้ำตาล ของหวาน ของทอด ของมัน
อาหารที่มีส่วนผสมของ Tran Fat (เนยเทียม มาการีน ขนมซอง)
นอกจากนี้การทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้รู้สึกอยากอาหาร อยากกินเยอะ และเกิดการสะสมของไขมันได้ง่าย แนะนำให้หันมาบริโภคอาหารประเภทไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต อโวคาโด ถั่วและเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีงานวิจัยที่พบว่าการสามารถช่วยลดพุง ลดไขมันช่องท้องได้
ในการลดไขมัน วิธีการควบคุมแคลอรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือทำให้สามารถรับประทานอาหารได้ตามความต้องการของร่างกาย เผาผลาญหมด ไม่มีส่วนที่เหลือไปเป็นไขมันสะสม แต่ข้อเสียคือแต่ละคนและแต่ละวันใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผู้ที่ควบคุมอาหารด้วยวิธีนี้ ต้องรู้จักร่างกายตัวเอง และทราบว่าแต่ละวันต้องการพลังงานกี่แคลอรี่ เพื่อจัดการประเภทอาหารอย่างเหมาะสม การควบคุมอาหารอย่างหนัก และนับแคลอรี่อย่างผิด ๆ นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังทำให้เกิดความเครียด และไม่เป็นผลดีในระยะยาว

การทำ IF (Intermittent Fasting)
การทำ IF เพื่อลดน้ำหนัก เป็นการควบคุมแคลอรี่และจำกัดเวลาในการทานอาหาร แต่ทั้งนี้การลดน้ำหนักและการลดไขมันที่ดี ไม่ควรเป็นวิธีที่ทำให้เกิดความเครียด หรือทำจนหักโหมมากเกินไป วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ต้องใช้วินัยในการทำสูง ด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา (Feeding) และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลา (Fasting) แบ่งเป็นระดับ ดังนี้

Feeding 8 ชั่วโมง / Fasting 16 ชั่วโมง
Feeding 5 ชั่วโมง / Fasting 19 ชั่วโมง
Fasting 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้ง / สัปดาห์ วันอื่น ๆ กินอาหารปกติ
Fasting 2 วัน กินอาหารปกติ 5 วัน (วันที่กินปกติต้องลดแคลอรี่ลงเหลือ ¼ ที่ได้รับต่อวัน)
อดเช้า – กินค่ำ (The Warrior Diet) กลางวันดื่มได้แค่น้ำเปล่า และรับอาหารหนักในมื้อค่ำ
อดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate Day Fasting)
โดยแต่ละคนต้องประเมินถึงความพร้อมของตัวเองก่อนเข้าโปรแกรมแบบต่าง ๆ ซึ่งมีความยากง่ายต่างกันไปครับ ที่ได้รับความนิยมคือแบบที่ 1 ในการทำ IF มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ 3.6-14% ช่วยลดไขมันในช่องท้อง ไขมันในเลือดได้ดี โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำและสมองดีขึ้นได้ด้วย

*การทำ IF ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

ควบคุมความเครียด
ความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคอ้วนซึ่งหลายคนมองข้าม โดยความเครียดจะส่งผลต่อพฤติกรรม เมื่อมีความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Cortisol ออกมา เมื่อหลั่งมากเกินไปจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือด ทำให้อยากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดเพี้ยน บางคนจะรู้สึกเบื่อหรืออยากอาหารอยู่ตลอดเวลา มีการรับประทานอาหารมากกว่าปกติ เมื่อเป็นหนักเข้าก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว สำหรับคนที่มีปัญหาไขมันช่องท้องที่เกิดจากความเครียด ถ้าลดความเครียดได้ ร่างกายกลับมาทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดปัญหาไขมันสะสมได้ครับ ในการลดความเครียดเบื้องต้น มีขั้นตอนดังนี้

วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
พิจารณาว่าสามารถแก้ไขจากต้นเหตุได้หรือไม่
หาวิธีผ่อนคลายตัวเอง เช่น หากใจเข้าลึก ๆ, ทำสมาธิ, ดูภาพยนตร์, การฟังเพลง, สร้างอารมณ์ขันและเสียงหัวเรา, คิดบวก

หลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนส่งผลอย่างยิ่งต่อระบบเผาผลาญ ขณะนอนหลับร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้สมองระงับความอยากอาหาร กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานขณะนอนหลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Ghrelin ที่ทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อเอาพลังงานมาใช้ เกิดการต้านทานอินซูลิน ทำให้การเผาผลาญกลูโคสลดลง และเกิดไขมันสะสมได้ง่าย ลดไขมันได้ยาก ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินตามมา
มีงานวิจัยว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเลปตินได้น้อย มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้การลดไขมันช่องท้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การนอนจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ควรนอนให้เพียงพอตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดให้อยู่ในระดับปกติ

หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และไขมันในช่องท้อง จากประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ลดลง ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน (ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา เพื่อนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน)
ทำให้อ้วนง่ายขึ้น เส้นเลือดอุดตันได้เร็วขึ้น และเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หรือโรคหัวใจ ดังนั้นการลดหรือเลิกการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างปกติ มีการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดปัญหาไขมันในช่องท้องได้
*การสูบบุหรี่มี นิโคติน ทาร์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง มีความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลยก็ตาม

สำหรับวิธีเหล่านี้เป็นการกำจัดไขมันและป้องกันการเกิดไขมันช่องท้องที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันครับ บางคนอาจต้องใช้เวลาและวินัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และไขมันช่องท้องลดลงอย่างเห็นผล สำหรับใครที่อยากได้วิธีที่รวดเร็ว หมอแนะนำในข้อต่อไปครับ

วิธีการ กำจัดไขมัน แบบเร่งด่วน


การดูดไขมัน

การดูดไขมัน ไม่สามารถช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ แม้การดูดไขมันดูจะเป็นวิธีกำจัดไขมันที่เห็นผลเร็ว แต่ใช้ไม่ได้กับไขมันในช่องท้องครับ เนื่องจากไขมันในจุดนี้จะติดกับลำไส้ และอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ถ้าดูดออกจะส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ ส่วนที่ดูดออกได้จะมีเพียงไขมันหน้าท้องบริเวณใต้ผิวหนังเท่านั้นครับ

ฉีดสลายไขมัน

กำจัดไขมัน ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัยสูง
วิธีนี้แพทย์จะฉีดสารที่มีคุณสมบัติในการสลายไขมัน และทำให้ไขมันแตกตัวออกจากผนังเซลล์ที่ปิดล็อกจากการถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบขับถ่ายของร่างกาย ทั้งนี้ตัวยาที่ใช้ในการฉีดสลายไขมันจึงมีความสำคัญมาก และมีผลต่อความสามารถในการกำจัดไขมันโดยตรง ดังนั้นตัวยาสูตรเฉพาะที่สกัดจากธรรมชาติจะมีความปลอดภัยสูง และตัวยาจะสลายออกจากร่างกายได้ดี โดยเมื่อตัวยาแทรกซึมเข้าสลายเซลล์ไขมันก็จะเข้าไปขัดขวางการสะสมของไขมันใหม่ กระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญไขมัน ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ถูกปลดปล่อยออกมาสู่ระบบขับถ่ายของร่างกาย

กำจัดไขมัน ด้วยความเย็น (Cryolipolysis)

การสลายไขมันด้วยความเย็น คือ การส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็งลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เข้าสู่ชั้นไขมัน เพื่อทำให้ไขมันค่อยๆ ตายไปด้วยความเย็นแล้วจึงถูกขับออกมาจากร่างกาย ส่งผลให้รูปร่างกระชับสมสัดส่วนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยกระบวนการสลายไขมัน คือ เครื่องปล่อยความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13°C ไปยังไขมันใต้ผิวหนังให้แข็งตัวและเกาะเป็นผลึก โดยคลื่นความเย็นจะเกาะเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้น ไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงอื่น และการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ประมาณ 25-30% แล้วค่อยๆ กำจัดออกทางระบบขับถ่ายของเสียของร่างกาย ส่วนเซลล์ไขมันที่เหลือจากการสลายก็จะเรียงตัวใหม่ ชั้นไขมันจะบางลง จึงทำให้รูปร่างดูสมส่วน และกระชับมากขึ้น

กำจัดไขมัน ด้วยความร้อน (Thermolipolysis)

การกำจัดไขมันด้วยความร้อน เป็นการใช้แสงเลเซอร์ส่งพลังงานความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 42–47 °C นอกจากจะโดดเด่นด้วยความสามารถในการกำจัดไขมันแบบเฉพาะเจาะจงในส่วนต่างๆ ที่มีไขมันสะสมแล้ว ยังเป็นการ “ฆ่า” ไขมันได้ลึกถึงระดับเซลล์ และเป็นลำแสงแรกที่สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ถึงครั้งละ 24% นอกจากนั้น การใช้ความร้อนเพื่อกำจัดไขมันยังมีอีกหนึ่งข้อดีที่น่าสนใจ เพราะเมื่อมีพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้น ก็จะส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำการกำจัดไขมันเรียบเนียนและกระชับขึ้นอีกด้วย
หลังการกำจัดไขมัน บริเวณที่ทำการรักษาจะมีเพียงรอยแดงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งจะหายไปภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นหรืองดกิจกรรมออกกำลังกาย ในส่วนของผลการรักษา จะสามารถสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 6 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 12 สัปดาห์ จึงทำให้สามารถกล่าวได้ว่า การกำจัดไขมันด้วยความร้อน หรือเครื่อง SculpSure เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่เห็นผลได้จริง เพราะจะไม่เพียงเข้าไปลดขนาดเซลล์ไขมัน แต่เป็นการทำลายและขับออกไปนอกร่างกาย ทำให้เซลล์ไขมันที่ถูกกำจัดออกไปโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนั้นยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ อีกด้วย

สรุป
สำหรับปัญหาไขมันส่วนเกิน การแก้ไขที่ยั่งยืน คือปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะได้รูปร่างที่ดี ยังได้สุขภาพที่ดีด้วยครับ แต่สำหรับใครที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินแบบเร่งด่วน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย และอยากใช้วิธีทางการแพทย์ ควรปรึกษาหมอ เพื่อให้แนะนำวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคน ทำแล้วมีความปลอดภัยมากที่สุด

BOTOX

ย้อนเวลาแห่งวัย คืนหน้าเรียว เริ่มต้น
฿ 6,990
  • Botox กราม
  • Botox ริ้วรอย
  • Botox หางตา
  • อื่นๆ

FILLER

เติมเต็มให้ละมุนทุกมิติ เริ่มต้น
฿ 6,990
  • ฟิลเลอร์ปาก
  • ฟิลเลอร์คาง
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา
  • อื่นๆ

MESOTHERAPY

บำรุงชั้นผิวให้ด้วยมัลติวิตามิน เริ่มต้น
฿ 2,990
  • เมโสหน้าใส
  • เมโสแฟต
  • เมโสผม
  • อื่นๆ

Would you like to share your thoughts?

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร ริ้วรอยแบบไหนที่โบท็อกซ์ช่วยได้ ?

ปัจจุบันโบท็อกซ์ได้รับความนิยมสูงสุดในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย แม้อายุน้อยก็เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้

Read More »

เมโส (Meso) คืออะไร ? ทำไมถึงได้รับความนิยม

ฉีดเมโส หรือ เมโสเทอราปี (Mesotherapy) คือ การฉีดวิตามินต่างๆ เข้าสู่ผิวหน้า หรือ บริเวณต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

Read More »
Zigma Clinic

Zigma Clinic คือคลินิกเสริมความงามที่มุ่งเน้นการรักษาคนไข้ ด้วยการใช้นวัตกรรมทางความงามปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ได้มาตรฐาน โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์เน้นให้บริการที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการ

Navigation

Address

ซิกม่า คลินิก 2 26 ถ. ราษฎร์พัฒนา แขวงราษฎร์พัฒนา เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

Call Us

+66629977838

Email Address

zigmaclinic2022@gmail.com